เมนู

พึงตั้งอยู่ วิญญาณที่มีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง มีความยินดีเป็นที่
เข้าไปซ่องเสพ พึงถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ วิญญาณที่เข้าถึง
เวทนาก็ดี ฯลฯ วิญญาณที่เข้าถึงสัญญาก็ดี ฯลฯ วิญญาณที่เข้าถึง
สังขารก็ดี เมื่อตั้งอยู่ พึงตั้งอยู่ วิญญาณที่มีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขาร
เป็นที่ตั้ง มีความยินดีเป็นที่เข้าไปซ่องเสพ พึงถึงความเจริญงอกงาม
ไพบูลย์ ภิกษุนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักบัญญัติการมา การไป จุติ
อุปบัติ หรือความเจริญงอกงามไพบูลย์แห่งวิญญาณ เว้นจากรูป
เวทนา สัญญา สังขาร ดังนี้ ข้อนี้ไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย ถ้าความกำหนัดในรูปธาตุ ในเวทนาธาตุ ในสัญญาธาตุ ใน
สังขารธาตุ ในวิญญาณธาตุ เป็นอันภิกษุละได้แล้วไซร้ เพราะละความ
กำหนัดเสียได้ อารมณ์ย่อมขาดสูญ ที่ตั้งแห่งวิญญาณย่อมไม่มี วิญญาณอัน
ไม่มีที่ตั้งนั้น ไม่งอกงาม ไม่แต่งปฏิสนธิ หลุดพ้นไป เพราะหลุดพ้นไป
จึงดำรงอยู่ เพราะดำรงอยู่จึงยินดีพร้อม เพราะยินดีพร้อม จึงไม่สะดุ้ง
เมื่อไม่สะดุ้ง ย่อมดับรอบเฉพาะตนเท่านั้น เธอย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น
อย่างนี้มิได้มี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้เห็นอย่างนี้แล อาสวะ
ทั้งหลายย่อมสิ้นไป ในกาลเป็นลำดับ.
จบ อุทานสูตรที่ 3

อรรถกถาอุทานสูตรที่ 3



ในอุทานสูตรที่ 3 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อุทานํ อุทาเนสิ ความว่า ทรงเปล่งอุทาน ซึ่งมีโสมนัส
มีกำลังแรงเป็นสมุฏฐาน. ถามว่า ก็โสมนัสนั้นเกิดแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า

เพราะอาศัยอะไร ? แก้ว่า เพราะอาศัยภาวะที่ศาสนาเป็นเหตุนำสัตว์
ออกจากทุกข์. อย่างไร ? ได้ยินว่า พระองค์ทรงพระดำริว่า อุปนิสสัย
ของเรามีอยู่ 3 อย่าง คือ ทานูปนิสสัย สีลูปนิสสัย ภาวนูปนิสสัย ใน
อุปนิสสัย 3 อย่างนั้น ทานูปนิสสัย และสีลูปนิสสัย มีกำลังเพลา
ภาวนูปนิสสัย มีกำลังกล้า จริงอยู่ ทานูปนิสสัยและสีลูปนิสสัย ย่อม
ยังสัตว์ให้บรรลุ มรรค 3 และ ผล 3 ภาวนูปนิสสัย ให้บรรลุ
พระอรหัต ภิกษุดำรงอยู่ในอุปนิสสัยที่มีกำลังเพลา เพียร พยายาม
ตัดเครื่องผูก คือโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 ได้แล้ว ย่อมทำมรรค 3 และ
ผล 3 ให้เกิด ด้วยประการฉะนี้ เมื่อพระองค์ทรงรำพึงอยู่ว่า
น่าอัศจรรย์จริง พระศาสนา เป็นนิยานิกะ นำสัตว์ออกจากทุกข์
โสมนัสนี้ย่อมเกิดขึ้น.
ใน 2 อย่างนั้น ภิกษุตั้งอยู่ในอุปนิสสัยที่มีกำลังเพลา เพียร
พยายาม ย่อมบรรลุ มรรค 3 ผล 3 ดังนั้น เมื่อจะเผยเนื้อความนี้
พึงทราบเรื่องพระมิลกเถระ ดังต่อไปนี้.
เล่ากันมาว่า ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ พระเถระนั้นเลี้ยงชีพด้วย
การกระทำปาณาติบาต ประกอบบ่วงไว้ร้อยหนึ่ง ฟ้าทับเหวร้อยหนึ่ง
ในป่า. ภายหลังวันหนึ่ง เธอเคี้ยวกินเนื้อที่ปิ้งไว้บนถ่านเพลิง แล้ว
เที่ยวไปในที่ใกล้บ่วง ถูกความกระหายครอบงำ จึงไปสู่วิหารของ
พระเถระผู้อยู่ป่ารูปหนึ่ง เปิดหม้อน้ำดื่มที่ตั้งอยู่ในที่ไม่ไกลของ
พระเถระผู้กำลังจงกรมอยู่. ไม่ได้เห็นน้ำแม้เพียงมือเปียก. เธอโกรธ
กล่าวว่า ภิกษุ ภิกษุ พวกท่านฉันโภชนะที่คฤหบดีให้แล้วก็หลับไป
ไม่จัดตั้งน้ำไว้แม้เพียงนิ้วมือหนึ่งในหม้อน้ำ นั่นเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง.
พระเถระกล่าวว่า ผมได้ตั้งหม้อน้ำดื่มไว้เต็มแล้ว นี่เหตุอะไรหนอ
ดังนี้แล้วจึงไปตรวจดู เห็นหม้อน้ำยังเต็ม จึงบรรจุสังข์สำหรับใส่น้ำดื่ม

จนเต็มได้ให้แล้ว. เธอดื่มน้ำที่เต็มสังข์ที่สอง คิดว่า ขึ้นชื่อว่าหม้อเต็มน้ำ
อย่างนี้ อาศัยการกระทำของเรา เกิดเป็นราวกะว่ากระเบื้องร้อน
ในอนาคต อัตภาพของเราจักเป็นอย่างไรหนอ มีจิตสลด ทิ้งธนูแล้ว
กล่าวว่า ขอท่านโปรดบวชให้กระผมเถิดขอรับ. พระเถระบอก
ตจปัญจกกัมมัฏฐานแล้วให้เธอบรรพชา.
เมื่อเธอทำสมณธรรมอยู่ สถานที่ที่ฆ่าเนื้อและสุกรเป็นอันมาก
และสถานที่ดักบ่วงและฟ้าทับเหว ย่อมปรากฏ เมื่อเธอกำลังระลึกถึง
สถานที่นั้นอยู่ เกิดความเร่าร้อนในร่างกาย เธอไม่ดำเนินไปตามแนว
พระกัมมัฏฐาน เป็นเหมือนโคโกงฉะนั้น. เธอคิดว่า โดยภาวะเป็นภิกษุ
เราจะทำอย่างไร ถูกความไม่ยินดียิ่งบีบคั้น ไปหาพระเถระ ไหว้แล้ว
กล่าวว่า ท่านขอรับ ผมไม่อาจทำสมณธรรมได้. ลำดับนั้น พระเถระ
กล่าวกะเธอว่า เธอจงทำการฝีมือ. เธอรับว่า ดีละ ขอรับ แล้วตัดไม้สด
มีไม้มะเดื่อเป็นต้น ทำเป็นกองใหญ่ แล้วถามว่า บัดนี้ผมจะทำอย่างไร.
จงเผามัน. เธอก่อไฟในทิศทั้ง 4 ก็ไม่อาจจะเผาได้ จึงกล่าวว่า
ผมไม่อาจ ขอรับ. พระเถระกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น จงหลีกไป แล้วขุดหลุม
เอาไฟประมาณเท่าหิ่งห้อยจากเปลวไฟใส่เข้าในหลุมนั้น. เธอเผา
กองไม้ใหญ่เพียงนั้นให้ไหม้โดยฉับพลันเหมือนเผาใบไม้แห้ง ลำดับนั้น
พระเถระแสดงเปลวไฟแก่เธอแล้วกล่าวว่า ถ้าเธอจักสึก เธอจักไหม้
ในที่นี้ ดังนี้แล้วให้เธอเกิดความสังเวช. จำเดิมแต่เธอได้เห็นเปลวไฟ
เธอตัวสั่นถามว่า ท่านขอรับ พระพุทธศาสนาเป็นเหตุนำออกจากทุกข์
หรือ. อย่างนั้น อาวุโส. ท่านขอรับ เมื่อพระพุทธศาสนาเป็นเหตุนำออก
จากทุกข์ มิลกภิกษุจักทำตนให้พ้นทุกข์ ท่านอย่าคิดไปเลย. จำเดิม
แต่นั้นมา เธอเพียรพยายามทำสมณธรรม บำเพ็ญวัตตปฏิบัติต่อท่าน

เมื่อถูกความหลับบีบคั้น วางฟางที่ชุ่มน้ำไว้บนศีรษะ นั่งหย่อนเท้า
ทั้งสองลงในแอ่งน้ำ. วันหนึ่งเธอกรองน้ำดื่ม วางหม้อน้ำไว้ที่ขา
ได้ยืนคอยจนน้ำในหม้อหมด. ครั้งนั้นแล พระเถระได้บอกอุทเทศแก่
สามเณรดังนี้ว่า
อุฏฺฐานวโต สติมโต สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน
สญฺญตสฺส จ ธมฺมชีวโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ
ยศย่อมเจริญยิ่งแก่บุคคลผู้มีความหมั่น มีสติ
มีการงานสะอาด ใคร่ครวญก่อนจึงทำ ผู้สำรวม
ผู้เป็นอยู่โดยธรรม และเป็นผู้ไม่ประมาท.

เธอน้อมคาถาแม้ที่ประกอบด้วยบท 4 เข้ามาในตนทีเดียว
ขึ้นชื่อว่าผู้มีความหมั่น ต้องเป็นเช่นกับเรา แม้ผู้มีสติก็เป็นเช่นกับเรา
เหมือน ฯลฯ ทั้งผู้ไม่ประมาทเล่า ก็พึงเป็นเช่นกับเราเหมือนกัน
รวมความว่าเธอน้อมคาถานั้นเข้าไปในตนเข้ามาในตนอย่างนั้นแล้ว
ตั้งอยู่ในวาระย่างเท้านั้นนั่นเอง ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 อย่างแล้ว
ดำรงอยู่ในอนาคามิผล หรรษาร่าเริง กล่าวคาถานี้ว่า
เราเทินกลุ่มก้อนฟางสดจงกรม บรรลุผลที่ 3 (อนาคามิผล)
ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์เป็นลาภของเราหนอ.

เธอตั้งอยู่ในอุปนิสสัยมีกำลังเพลา เพียรพยายามอยู่อย่างนี้
ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 อย่าง และทำมรรค 3 ผล 3 ให้เกิดได้ ด้วย
ประการฉะนี้
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โน จสฺส โน จ เม สิยา,
น ภวิสฺส น เม ภวิสฺสติ
ดังนี้ เมื่อภิกษุหลุดพ้นอย่างนี้แล้ว ชื่อว่าพึง
ตัดสังโยชน์เบื้องต่ำเสียได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โน จสฺสํ โน จ เม สิยา ความว่า
ก็เราไม่พึงเป็น แม้ปริขารของเราก็ไม่พึงมี ก็หรือว่าถ้าการปรุงแต่ง
กรรมในอดีตของเราจักไม่ได้มีแล้วไซร้ บัดนี้ขันธ์ 5 หมวดของเรานี้
ไม่พึงมี. บทว่า น ภวิสฺส น เม ภวิสฺสติ ความว่า ก็บัดนี้เราจักพยายาม
โดยประการที่การปรุงแต่งกรรมอันให้ขันธ์บังเกิดแก่เราในอนาคต
จักไม่มี เมื่อการปรุงแต่งกรรมไม่มี ชื่อว่าปฏิสนธิในอนาคตก็จักไม่มี
แก่เรา. บทว่า เอวํ วิมุจฺจมาโน ความว่า ภิกษุเมื่อน้อมใจไปอย่างนี้
ตั้งอยู่ในอุปนิสัยมีกำลังอ่อน พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 ได้. บทว่า
เอวํ วุตฺเต ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรำพึงถึงความที่
พระศาสนาเป็นเหตุนำออกจากทุกข์ ตรัสอุทานนี้อย่างนี้. บทว่า
รูปํปิ ภวิสฺสติ ความว่า รูปจักมี. บทว่า รูปสฺส วิภวา ได้แก่เพราะเห็น
ไม่เป็นไปของรูป. จริงอยู่ มรรค 4 ที่สัมปยุตด้วยวิปัสสนา ชื่อว่าเห็น
ความเปลี่ยนแปลงแห่งรูปเป็นต้นซึ่งท่านหมายกล่าวไว้เช่นนั้น.
บทว่า เอวํ วิมุจฺจมาโน ภนฺเต ภิกฺขุ ฉินฺเทยฺย ความว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ ภิกษุเมื่อน้อมใจไปอย่างนี้ พึงตัดโอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 ได้
เหตุไรจักไม่ตัด.
บัดนี้ เมื่อจะทูลถามถึงมรรคผลสูงๆขึ้นไป ภิกษุนั้นจึงกราบทูล
คำเป็นต้นว่า กถํ ปน ภนฺเต ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น. บทว่า อนนฺตรา
ได้แก่กาลอันเป็นลำดับ ซึ่งมีอยู่ 2 อย่าง คือ กาลเป็นลำดับใกล้ 1
กาลเป็นลำดับไกล 1 วิปัสสนาชื่อว่า กาลเป็นลำดับใกล้ต่อมรรค
ไกลต่อผล ภิกษุหมายเอากาลเป็นลำดับนั้น จึงทูลถามว่า ข้าแต่-
พระองค์ผู้เจริญ เมื่อภิกษุรู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร อรหัตตผลที่นับว่า
ความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ย่อมมีในลำดับแห่งวิปัสสนา. บทว่า

อตสิตาเย ได้แก่ ในฐานะอันไม่ควรสะดุ้งคือไม่ควรกลัว. บทว่า
ตาสํ อาปชฺชติ แปลว่า ย่อมถึงความกลัว. บทว่า ตาโส เหโส ความว่า
เพราะวิปัสสนาอย่างอ่อนที่เป็นไปอย่างนี้ว่า โน จสฺสํ โน จ เม สิยา
นี้นั้นไม่สามารถจะยึดครองความรักในตนได้ ฉะนั้นปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
จึงชื่อว่า มีความสะดุ้ง เพราะเขาคิดว่า บัดนี้เราจักขาดสูญ เราจักไม่มี
อะไรๆ จึงเห็นตนเสมือนตกไปในเหว เหมือนพราหมณ์คนหนึ่ง.
เล่ากันมาว่า พระจูฬนาคเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก สวดพระธรรม
เนื่องด้วยไตรลักษณ์อยู่ใต้โลหะปราสาท. ครั้งนั้น พราหมณ์คนหนึ่ง
กำลังยืนฟังธรรมอยู่ในที่แห่งหนึ่ง สังขารได้ปรากฏเป็นของว่างเปล่า.
เขาเป็นเสมือนตกไปในเหว หนีออกจากที่นั้นทางประตูที่เปิดไว้
เข้าเรือนแล้วให้ลุกนอนบนอก กล่าวว่า พ่อ เมื่อเรานึกถึงลัทธิของตน
เป็นอันฉิบหายแล้ว. บทว่า น เหโส ภิกฺขุ ตาโส ความว่า วิปัสสนาที่มี
กำลังนั้นคือที่เป็นไปอย่างนั้น ย่อมไม่ชื่อว่าเป็นความสะดุ้งสำหรับ
พระอริยสาวกผู้ได้สดับ ความจริงเขามิได้คิดอย่างนี้ว่า เราจักขาดสูญ
หรือจักพินาศ แต่เขามีความคิดอย่างนี้ว่า สังขารทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น
และย่อมดับไป.
จบ อรรถกถาอุทานสูตรที่ 3

4. ปริวัฏฏสูตร



ว่าด้วยการรู้อุปาทานขันธ์โดยเวียนรอบ 4



[112] กรุงสาวัตถี. ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ 5 ประการนี้ 5 ประการเป็นไฉน ?